ไท้ส่วย" ถือเป็นดวงดาวและเทพเจ้าได้ทั้ง 2 อย่าง เหตุเพราะไท่ส่วยจะมีการจรมาแต่ละปี แต่ละองค์หมุนเปลี่ยนเวียนกันไป ถือเป็นเทพเจ้าที่ทำหน้าที่ควบคุมความดีชั่วประจำปีของมวลมนุษย์ โดยปรากฏทั้งหมด 60 องค์/ปี ห้ารอบนักษัตรถือเป็นวัฏจักรองค์ไท่ส่วย
เนื่องจากเทพเจ้าไท่ส่วยเป็นเทพเจ้าประจำปี และใกล้ชิดกับการกระทำทั้งดีชั่วของคนเรามากที่สุด จึงสามารถดลบันดาลบรรเทาโทษภัยให้น้อยลง หรือขจัดเภทภัยให้หมดสิ้นได้ และมีผลโดยตรงกับมนุษย์ ดังนั้นผู้ใดก็ตามที่ต้องการขจัดปัดเป่าภัยพิบัติต่างๆ จึงสมควรบูชาเทพเจ้าไท้ส่วยเป็นอย่างยิ่ง
โดยองค์ไท่ส่วยบางคนกล่าวว่า ท่านคือดาวประจำอายุขัย บ้างก็ว่าเป็นดาวบักแช (ดาวพฤหัส) บางคนกล่าวว่าท่านเป็นเทพเจ้าตามสารทและฤดูกาล บ้างก็กล่าวว่าท่านเป็นเทพเจ้าประจำยามทั้ง 12 ยาม หรือ กล่าวว่าท่านเป็นเทพเจ้าประจำเดือนทั้ง 12 เดือน เป็นต้น ซึ่งการกล่าวเช่นนั้นยังไม่มีการฟันธงแน่นอน โดยแท้นั้นคนเราให้ความสำคัญของไท้ส่วย ตรงที่ท่านเป็นเจ้าแห่งการลงโทษ เป็นที่น่าเกรงขาม ท่านได้รับบัญชามาจากสวรรค์ในการทำหน้าที่ตรวจตราดูแลความดีความชั่วของมนุษย์ในแต่ละรอบปี อย่างไรก็ตามท่านยังมีความผูกพันกันดาวอายุขัยของแต่ละคนอีกด้วย
ไท้ส่วย หรือ ไท่ซุ่ย เป็นอีกชื่อหนึ่งของ ดาวพฤหัสบดี ในภาษาจีนโบราณ ซึ่งรวมความถึงเทพเจ้าผู้ทรงอิทธิ์ฤทธิ์ทำหน้าที่คุ้มครองให้คุณให้โทษแก่ดวงชาตาทุกดวงในผืนพิภพแห่งนี้ และในโหราศาสตร์ระบบภูมิพยากรณ์หรือฮวยจุ้ย ไท้ส่วยก็มีอิทธิพลอีกไม่น้อยเช่นกัน ซึ่งในการประกอบกิจการใดใดก็ตามคนจีนมักจะพึงซินแสหรือฤกษ์ยามอันเหมะสมใน เช่นขุดดิน ขุดคลอง สร้างบ้าน จะต้องหลีกเลี่ยงมิให้กระทบกับทิศทางที่สถิตของไท้ส่วยในปีนั้นๆหากไม่แล้ว ก็จะต้องถูกลงโทษลงทัณท์ เคราะห์หามยามร้ายก็จะถามหา อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จนกลายเป็นคำพังเพยของคนจีนสมัยก่อนมักกล่าวว่า “ใครจะกล้าขุดดินบนหัวของไท้ส่วย” ซึ่งปัจจุบันแผลงความหมายเป็นการล่วงเกินผู้มีอำนาจหรือผู้มีอิทธิพล
ปัจจุบันคนเข้าใจเกี่ยวกับไท้ส่วยน้อยมาก จนเกือบจะกล่าวได้ว่าแทบไม่มีใครรู้ประวัติความเป็นมาของไท้ส่วยว่าเป็นใครมาจากไหน จนหลายคนรู้สึกหวาดผวาเมื่อได้ยินคำว่า”ชงไท้ส่วย” หรือหลายๆคนเข้าใจเอาเองว่าเป็นเทพเจ้าแห่งการลงโทษทัณท์ เป็นปีศาจร้าย หรือเป็นอะไรก็ตามที่จะต้องเอาอกเอาใจกราบไหว้อ้อนวอน
ไท้ส่วย ทั้ง ๖๐ องค์นี้คือการผสมผสานและการตกผลึกทางภูมิปัญญาของจีนในสมัยโบราณ รวมถึงคติความเชื่อ ขนบประเพณีและค่านิยมจนกระทั่งปรัชญาการปกครองไว้ได้อย่างเยี่ยมยอด โดยนำเอาปีนักษัตรทั้ง ๑๒ ผสมธาตุทั้ง ๕ รวมเป็น ๖๐ ธาตุเรียกว่า “หลักจับกะจื้อ” นำมากำหนดเป็นรอบปี หมุนเวียนต่อเนื่องกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพื่อสำหรับอธิบายการก่อกำเนิดและเชื่อมโยงของกันและกันของทุกสรรพสิ่งตามทฤษฎีแห่งเต๋า ปีทั้ง ๖๐ ปีนี้แสดงให้เห็นเป็นรูปธรรมได้ดีโดยการใช้บุคลาฐิษฐาน หรือใช้การบุคคลทั้ง ๖๐ คนมาแทนจำนวนปีทั้ง ๖๐นั้นเรียกว่า”ไท้ส่วยเอี๊ย” หรือเทพเจ้าแห่งดวงชะตา
ที่มาที่ไปแต่ละองค์รวมถึงประวัติความเป็นมา ได้มาจากบุคคลที่มีเกียรติศักดิ์และฐานันดรต่างกัน ต่างเวลาและต่างสถานที่กัน แต่สิ่งที่เหมือนกันก็คือ ต่างก็ได้เป็นผู้มีคุณูปการอันยิ่งใหญ่ และทำคุณประโยชน์อันใหญ่หลวงให้แก่แผ่นดิน มีความซื่อสัตย์สุจริต กล้าหาญเด็ดเดี่ยว ได้รับการสดุษฎีกล่าวขวัญในเกียรติคุณความดีมาอย่างต่อเนื่องและยาวนานนับพันปี อีกทั้งเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับอนุชนรุ่นหลัง แม้ภายหลังเมื่อชีวิตหาไม่แล้วต่างก็ได้รับการสถาปนาอวยยศให้เป็น”เซียน”หรือเทพเจ้าที่คุ้มครองบ้านเมืองในสมัยนั้น วีรบุรุษและขุนพลที่มีชื่อเสียงในสมัยโบราณทั้ง ๖๐ ท่านนั้นจะได้รับการสถาปนาเป็นเทพเจ้าแห่งดาวพฤหัสบดีผู้ซึ่งคุ้มครองดวงชาตาหรือ”ไท้ส่วยเอี๊ย”นั้น เมื่อใดไม่ปรากฏชัด แต่อารามในลัทธิเต๋าทุกอารามต่างก็มีรูปปั้นของท่านเหล่านั้นสถิตอยู่เนิ่นนานแล้ว มีการกราบไหว้บูชาขอพรกันสืบเนื่องมาเป็นประเพณีนับพันปี ซึ่งทุกท่านต่างก็ได้รับการสถาปนาเป็น “ไต่เกียงกุง” หรือ”จอมทัพ” ทำหน้าที่คุ้มครองดวงชาตาชาวประชาทั้งมวล คุณสมบัติขั้นพื้นฐานขององค์ไท้ส่วยทุกๆองค์ ซึ่งมิได้ต่างไปจากความหมายของดาวพฤหัสบดีเลยแม้แต่น้อย ซึ่งหากเราได้เรียนรู้และศึกษาประวัติความเป็นมาของท่าน และน้อมนำจริยาและวัตรปฎิบัติ ของท่านนำไปปฏิบัติด้วยตนเองแล้ว ก็ถือได้ว่าท่านได้กระทำการปฎิบัติบูชาแด่องค์ไท้ส่วยที่ถูกต้องที่สุด องค์ท่านก็ย่อมที่จะเมตตาคุ้มครองดวงชาตาของเราให้ประสบแต่ความสุขความเจริญ มิให้มีเหตุเภทภัยภยันตรายใดใดมากล้ำกรายได้
เมื่อทำพิธีไหว้เทพเจ้าแห่งโชคลาภที่บ้านในวันตรุษจีน และ ไหว้ฟ้าดินเรียบร้อยแล้ว ถัดมาจึงเป็นการเดินทางไปไหว้เทพเจ้าตามศาลเจ้าต่าง ๆ ซึ่งหนึ่งในเทพเจ้าที่คนจีนนับถือยิ่ง คือ เทพไท้ส่วย หรือ ดาวขุนพลประจำปี
การไหว้เทพไท้ส่วยจะทำให้ความเป็นอยู่ดี มีสุขภาพแข็งแรง ธุรกิจ กิจการค้าดี เดินทางแคล้วคลาดปลอดภัย และ ไม่มีปัญหากับเจ้าหน้าที่บ้านเมือง โดยคนจีนนิยมเซ่นไหว้เทพไท้ส่วยในวันที่ 4 ของเดือนแรกของปี (ขึ้น 4 ค่ำเดือน 1 ของจีน) หรือ ที่เรียกว่า วันเทพเจ้าลงจากสวรรค์ เพราะก่อนวันตรุษจีน เทพเจ้าจะขึ้นไปบนสวรรค์ เพื่อสังสรรค์ ไปเยี่ยมเพื่อนฝูง ไปทูลเกล้าเง็กเซียนฮ่องเต้ กระทั่งถึงวันที่ 4 เดือนแรกของปี เทพเจ้าต่าง ๆ ถึงจะลงจากสวรรค์มายังโลกมนุษย์ ดังนั้น คนจีนจึงไหว้เทพไท้ส่วยไปพร้อมกัน หรือนิยมไหว้ในวันชิวอิก จับโหงว (วันหง่วงเซียว) ก็ได้แล้วแต่ความสะดวก
เครื่องบวงสรวงที่ใช้สำหรับไหว้เทพไท้ส่วย จะใช้เครื่องเซ่นไหว้เหมือนการไหว้ตรุษจีน แต่จะถวายด้วยเครื่องเซ่นไหว้อย่างละ 4 อัน หมายถึง 4 ฤดูกาลครบวงจร 1 ปี
เครื่องเซ่นไหว้องค์เทพไท้ส่วย ประกอบไปด้วย
อาหารเจ 4 อย่าง เช่น เห็ดหอม เห็ดหูหนู สาหร่าย วุ้นเส้น
หมี่ซั่ว เป็นบะหมี่เส้นยาว ๆ ซึ่งภาคใต้นิยมไหว้ด้วยหมี่ซั่วมาก
ข้าวสุก 4 ถ้วย
ผลไม้ 4 อย่าง เช่น กล้วยหอม องุ่น แอปเปิ้ล สาลี่
ส้ม 4 ผล แยกต่างหาก
น้ำชา 4 ถ้วย และ น้ำเปล่า 4 ถ้วย
เชียงกิม หรือ กระดาษเงินกระดาษทอง 4 อย่าง ๆ ละ 24 ชิ้น ตามสาร์ทของจีน 1 ปี (1 ปีมี 12 เดือน ๆ ละ 2 สาร์ท เท่ากับ 12 เดือนมี 24 สาร์ท)
เงินไท้เก็ก (เงิน 2 ภพ)
เทียนกิม (ทองสวรรค์)
เซียะกิม (เงินของช่วงฟุต)
สิ่วกิม
กิมฮวย (หางนกยูง)
น้ำเปล่าใส่ยอดทับทิม 1 แก้ว
ดอกไม้ , ธูป , เทียนแดงขาไม้ 1 คู่
การไหว้เทพไท้ส่วยควรไหว้ด้วยธูป 12 ดอก สาเหตุที่ให้ไหว้ด้วยธูป 12 ดอก เพราะว่าใน 1 ปีมี 12 เดือน ธูปแต่ละดอกจึงหมายถึงเดือนในแต่ละเดือน หรือ หากไหว้องค์ไท้ส่วยในช่วงเวลาอื่น นอกเหนือจากช่วงต้นปี ก็ให้จุดธูป 5 ดอก ไม่ใช่ 4 ดอกเหมือนการถวายของเซ่นไหว้นอกนั้นก็เหมือนเดิม
ขุนพลโกว่ซุ่ยไต่เจียงกุง (太歲吳遂大將軍) ประจำปี 2568 (ปีมะเส็ง 乙巳)
4. การอธิษฐานขอพรเทพไท้ส่วย สามารถขอได้อย่างเดียว โดยให้พ่อบ้าน หรือ ผู้ที่มีอายุมากที่สุดเป็นผู้ไหว้คนแรก ถัดมาจึงเป็นคนในบ้านไหว้ เรียงตามลำดับอาวุโส ซึ่งต้องไหว้ 3 ครั้ง 3 ลา หลังจากไหว้ลาเก็บเครื่องเซ่นแล้ว ก็ให้นำกระดาษเงินกระดาษทองที่เป็นเงินตรามาโบกหน้าตัวเราเอง โดยโบกตั้งแต่ศรีษะลงมาจรดปลายคาง หรือ ระดับหน้าอก เพื่อขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาให้ลาภผลแก่เรา แต่ถ้าต้องการให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองตัวเรา หรือ ให้ประสบความก้าวหน้าในทุกเรื่อง เราก็ต้องนำกระดาษเงินกระดาษทองมาโบกข้างหลัง ตั้งแต่ศรีษะลงไปแผ่นหลัง โดยเราไม่ต้องโบกเอง ควรให้คนอื่นช่วยโบกแทน เปรียบได้ว่า มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองเราอยู่ข้างหลัง สิ่งสำคัญของการโบกกระดาษเงินกระดาษทอง คือ ให้โบกเป็นจำนวนครั้งตามอายุของจีน หรือ ตามอายุของไทยบวกหนึ่ง หมายความว่า ให้โบกตามอายุจริงของผู้ไหว้ แล้วบวกเพิ่มไปอีก 1 ปี เป็นการคิดตามอายุจีน เพราะคนจีนจะคิดอายุที่อยู่ในครรภ์ด้วย 1 ปี เมื่อโบกกระดาษเงินกระดาษทองเสร็จเรียบร้อย ก็ให้เอากระดาษเงินกระดาษทองมาเผา ส่วนอาหารไหว้ก็ให้นำไปแจกจ่ายลูกหลานรับประทานกัน เพื่อให้เทพเจ้าคุ้มครองให้มีสุขภาพดี อายุมั่นขวัญยืน ให้ร่ำรวย ทำการค้าขายอย่าได้มีสิ่งที่ไม่ดีเข้ามา ไม่เจอคนไม่ดีมาเบียดเบียน วิธีโบกกระดาษเงินกระดาษทองที่หน้า สามารถทำได้ทุกเทศกาล แต่การโบกแบบนี้จะทำเฉพาะคนที่มีเคราะห์กรรมเป็นส่วนใหญ่
5. นำชุดสะเดาะเคราะห์วางลงในกล่องรับฝาก ที่ทางวัดจัดไว้ให้ก็เป็นอันเสร็จพิธี ของเซ่นไหว้ต่าง ๆ ถวายให้วัดไปไม่ต้องนำกลับบ้าน
หมายเหตุ
การไปไหว้เทพเจ้าไท่ส่วยเอี้ย เพื่อสะเดาะเคราะห์และเสริมดวง ให้ไปช่วงวันที่ 4, 5, หรือ 6 เดือนกุมภาพันธ์ เพราะเป็นวันเริ่มเปลี่ยนสาร์ทประจำปีถือเป็นเรื่องสำคัญสำหรับสามวันแรกของการเปลี่ยนสาร์ทปีนักษัตร และถือเป็นเรื่องดีเป็นการเสริมดวงในรอบปีใหม่ ยังเป็นการแก้เคล็ดให้กับคนที่เกิดปีชง ปีไท่ส่วย และปีเฮ้ง ไห่ หรือปีฮ่วยบ้อ ให้ได้รับแต่สิ่งดีงามตลอดทั้งปีใหม่นี้ด้วย
ผู้หญิงขณะมีประจำเดือนไม่ควรทำพิธีสะเดาะเคราะห์ให้งดเว้นไปก่อนหรือให้คนอื่นทำแทนเท่านั้น
คนที่ไปไหว้ ขณะนำชุดกระดาษไหว้มาปัดตัว ทำจิตใจให้สงบนิ่ง ขออโหสิกรรมต่อเจ้ากรรมนายเวร และสัมภเวสีทั้งหลาย แล้วทำการปัดเป่าออกไป 12 ครั้ง เป็นเสร็จพิธี
วิธี "แก้ชง" แบบทำที่วัดจีนหรือศาลเจ้า
คือ ไปไหว้แก้ชงกับเทพเจ้า "ไท้ส่วยเอี้ย" เพื่อให้คุ้มครองดวงชะตาของผู้ที่มีปีชง โดยเทพเจ้าไท้ส่วยเอี๊ยประจำปี เดินทางไปที่วัดจีนที่มีเทพเจ้า "ไท้ส่วยเอี้ย" ประดิษฐานอยู่
1. เริ่มต้นด้วยการบริจาคเงินทำบุญ พร้อมรับเครื่องแก้ชงที่วัดจัดไว้ให้ จากนั้นไปรับ "ใบฝากดวงปีชง" หรือ "เทียบแดง" สำหรับเขียนชื่อของตนเอง
2. จากนั้นนำ "เทียบแดง" มาเขียนชื่อ-นามสกุล และวันเดือนปีเกิดของตนเอง และเขียนพระนามขององค์ไท้ส่วยประจำปี ลงไปบนกระดาษ เสร็จแล้วเดินถือเครื่องแก้ชงไปวางตามจุดที่เจ้าหน้าที่จัดไว้ แล้วจุดธูปเทียนไหว้ไท้ส่วยเอี้ย พร้อมขอพรและฝากดวงชะตา แล้วอธิษฐานพร้อมกล่าวว่า
“ขออานุภาพบารมี เทพเจ้าคุ้มครองดวงชะตา ได้โปรดอภิบาลรักษาดวงชะตาประจำปี 2564 ของข้าพเจ้า (เอ่ยชื่อ สกุล วันเดือนปีเกิด และเวลาเกิดของตนเอง) ให้ปราศจากภัยอันตรายทั้งปวง และสิ่งอัปมงคลทั้งหลาย ขอจงประสบแต่ความสุข ความเจริญก้าวหน้า เป็นสิริสวัสดิ์พิพัฒนมงคล มีความเจริญ ด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณ ธนสารสมบัติ มีพลานามัยสมบูรณ์ และสำเร็จสมหวัง ในสิ่งอันพึงปรารถนาในทางที่ดี ตลอดปีด้วยเทอญ”
3. ปักธูปเทียนตามจุดที่ทางวัดจัดเตรียมไว้ให้เรียบร้อย แล้วไปเติมน้ำมันตะเกียง
4. จากนั้นนำใบฝากดวงแก้ปีชงพร้อมกระดาษเงินกระดาษทอง ปัดออกจากตัวเอง 12 ครั้ง (วัดจีนแต่ละแห่งแนะนำไม่เหมือนกัน บางแห่งก็ให้ปัดตามจำนวนอายุ) เมื่อปัดเสร็จแล้วก็ให้นำเทียบแดงไปวางหน้าองค์เทพไท้ส่วยเอี้ย แล้วเผากระดาษเงินกระดาษทอง (บางวัดก็ไม่เผาเพื่อลดการก่อฝุ่น PM 2.5)
5. รับส้มมงคลและอาหารเจแห้ง ให้นำกลับบ้านไปกินเพื่อความเป็นสิริมงคล นอกจากคนปีชงควรหลีกเลี่ยงการไปร่วมงานศพ เพราะเชื่อกันว่าดวงชะตาอาจได้รับผลกระทบ ทำให้ร่างกายเกิดการเจ็บป่วยได้
วิธี "แก้ชง" ที่บ้าน
คนที่อยากแก้ชงแต่ไม่อยากไปทำที่วัด ก็สามารถทำเองที่บ้านได้เช่นกันดังนี้
การอธิษฐานขอพรเทพไท้ส่วย สามารถขอได้อย่างเดียว โดยให้พ่อบ้าน หรือ ผู้ที่มีอายุมากที่สุดเป็นผู้ไหว้คนแรก ถัดมาจึงเป็นคนในบ้านไหว้ เรียงตามลำดับอาวุโส ซึ่งต้องไหว้ 3 ครั้ง 3 ลา หลังจากไหว้ลาเก็บเครื่องเซ่นแล้ว นำ "เทียบแดง" มาเขียนชื่อ-นามสกุล และวันเดือนปีเกิดของตนเอง และเขียนพระนามขององค์ไท้ส่วยประจำปี ลงไปบนกระดาษ แล้วจุดธูปเทียนไหว้ไท้ส่วยเอี้ย พร้อมขอพรและฝากดวงชะตา แล้วอธิษฐานพร้อมกล่าวว่า
“ขออานุภาพบารมี เทพเจ้าคุ้มครองดวงชะตา ได้โปรดอภิบาลรักษาดวงชะตาประจำปี 2564 ของข้าพเจ้า (เอ่ยชื่อ สกุล วันเดือนปีเกิด และเวลาเกิดของตนเอง) ให้ปราศจากภัยอันตรายทั้งปวง และสิ่งอัปมงคลทั้งหลาย ขอจงประสบแต่ความสุข ความเจริญก้าวหน้า เป็นสิริสวัสดิ์พิพัฒนมงคล มีความเจริญ ด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณ ธนสารสมบัติ มีพลานามัยสมบูรณ์ และสำเร็จสมหวัง ในสิ่งอันพึงปรารถนาในทางที่ดี ตลอดปีด้วยเทอญ”
เคล็ดลับการไหว้ขอพรเทพไท้ส่วยเพื่อให้เกิดผลดีที่สุด ควรดูทิศที่องค์เทพไท้ส่วยมาสถิตอยู่ด้วย โดยองค์เทพไท้ส่วยจะมาสถิตอยู่ทิศใดในแต่ละปี ก็ขึ้นอยู่กับว่าปีนั้นเป็นปีนักษัตรอะไร ซึ่งจะห่างกัน 30 องศา
อันที่จริงการไหว้เทพไท้ส่วย คนจีนส่วนใหญ่มักตั้งเครื่องบวงสรวงไหว้อยู่หน้าบ้าน โดยหันหน้าไหว้ไปทางทิศที่เป็นมงคล หรือ ให้ผู้ไหว้หันหน้าออกไปทางหน้าบ้าน เพื่อให้องค์เทพไท้ส่วยหันมาคุ้มครองดูแลบ้านเรา โดยวันที่ไหว้ ก็ต้องดูวันที่เป็นมงคลด้วย หรือ จะเป็นวันชิวสี่ (วันขึ้น 4 ค่ำเดือน 1 ของจีน) เพราะวันชิวสี่ถือเป็นวันที่เทพเจ้าจะมาปกป้องช่วยเหลือ หรือวันจับโหงว (วันขึ้น 15 ค่ำเดือน 1 ของจีน)
เมื่อโบกกระดาษเงินกระดาษทองเสร็จเรียบร้อย ก็ให้เอากระดาษเงินกระดาษทองมาเผา ส่วนอาหารไหว้ก็ให้นำไปแจกจ่ายลูกหลานรับประทานกัน เพื่อให้เทพเจ้าคุ้มครองให้มีสุขภาพดี อายุมั่นขวัญยืน ให้ร่ำรวย ทำการค้าขายอย่าได้มีสิ่งที่ไม่ดีเข้ามา ไม่เจอคนไม่ดีมาเบียดเบียน วิธีโบกกระดาษเงินกระดาษทองที่หน้า สามารถทำได้ทุกเทศกาล แต่การโบกแบบนี้จะทำเฉพาะคนที่มีเคราะห์กรรมเป็นส่วนใหญ่
2. แต่ถ้าต้องการให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองตัวเรา หรือ ให้ประสบความก้าวหน้าในทุกเรื่อง เราก็ต้องนำกระดาษเงินกระดาษทองมาโบกข้างหลัง ตั้งแต่ศรีษะลงไปแผ่นหลัง โดยเราไม่ต้องโบกเอง ควรให้คนอื่นช่วยโบกแทน เปรียบได้ว่า มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองเราอยู่ข้างหลัง สิ่งสำคัญของการโบกกระดาษเงินกระดาษทอง คือ ให้โบกเป็นจำนวนครั้งตามอายุของจีน หรือ ตามอายุของไทยบวกหนึ่ง หมายความว่า ให้โบกตามอายุจริงของผู้ไหว้ แล้วบวกเพิ่มไปอีก 1 ปี เป็นการคิดตามอายุจีน เพราะคนจีนจะคิดอายุที่อยู่ในครรภ์ด้วย 1 ปี
1. ให้นำกระดาษเงินกระดาษทองที่เป็นเงินตรามาโบกหน้าตัวเราเอง โดยโบกตั้งแต่ศรีษะลงมาจรดปลายคาง หรือ ระดับหน้าอก เพื่อขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาให้ลาภผลแก่เรา
ทิศไท้ส่วยสถิตตามปีนักษัตร
ปีชวด เทพไท้ส่วยมาทางทิศ 360 องศา (ทิศเหนือ)
ปีฉลู เทพไท้ส่วยมาทางทิศ 30 องศา
ปีขาล เทพไท้ส่วยมาทางทิศ 60 องศา
ปีเถาะ เทพไท้ส่วยมาทางทิศ 90 องศา (ทิศตะวันออก)
ปีมะโรง เทพไท้ส่วยมาทางทิศ 120 องศา
ปีมะเส็ง เทพไท้ส่วยมาทางทิศ 150 องศา
ปีมะเมีย เทพไท้ส่วยมาทางทิศ 180 องศา (ทิศใต้)
ปีมะแม เทพไท้ส่วยมาทางทิศ 210 องศา
ปีวอก เทพไท้ส่วยมาทางทิศ 240 องศา
ปีระกา เทพไท้ส่วยมาทางทิศ 270 องศา (ทิศตะวันตก)
ปีจอ เทพไท้ส่วยมาทางทิศ 300 องศา
ปีกุน เทพไท้ส่วยมาทางทิศ 330 องศา